ยุคโลหะ (Metal Age)

ยุคโลหะ (Metal Age)

imagesCAV9Y678

เริ่มเมื่อประมาณ 4,000ปีมาแล้ว มนุษย์ยุคนี้มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอันแสดงถึงการพัฒนาความสามารถทางความคิด ด้วยการมีความสามารถนำโลหะมาทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้นั่นเอง ในระยะแรกของยุคโลหะจะพบว่าพวกเขารู้จักหลอมทองแดงและดีบุกซึ่งเป็นโลหะที่ใช้อุณหภูมิไม่สูงนักในการหลอม ต่อมาจึงพัฒนาความรู้และเทคโนโลยีขึ้นมาจนสามารถหลอมเหล็กได้ ซึ่งการหลอมเหล็กต้องใช้อุณหภูมิสูง นักโบราณคดีจึงแบ่งยุคโลหะออกเป็น 2 ยุคตามความแตกต่างของระดับเทคโนโลยีและวัสดุที่นำมาใช้ทำเครื่องมือเครื่องใช้ ดังนี้

2.1 ยุคสำริด (Bronze Age) การเริ่มต้นของยุคสำริดในแต่ละภูมิภาคจะต่างกันไปแต่ส่วนใหญ่จะเริ่มระหว่างประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว ในช่วงเวลานี้มนุษย์รู้จักนำทองแดงผสมกับดีบุกหลอมรวมกันกลายเป็นโลหะผสมที่เราเรียกว่า สำริด มาใช้ทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้และอาวุธที่มีคุณภาพดีกว่าที่ทำจากหินขัดมาก การดำรงชีวิตของมนุษย์ยุคนี้ก็เปลี่ยนไปจากการเป็นชุมชนเกษตรกรรมเล็กๆ กลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่เราเรียกว่าชุมชนเมือง มีการจัดแบ่งความสัมพันธ์ของคนในสังคมตามความสัมพันธ์และความสามารถ ซึ่งพัฒนาการนี้ทำให้สังคมมีความมั่นคงและมีการสั่งสมอารยธรรมได้อย่างรวดเร็วกว่าที่ผ่านมา แหล่งอารยธรรมสำคัญที่มีพัฒนาการจากสังคมสมัยหินใหม่สู่สมัยสำริด เช่น แหล่งอารยธรรมเมโสโปเตเมียในภูมิภาคเอเชียตะวันตก แหล่งอารยธรรมลุ่มแม่น้ำไนล์ในประเทศอียิปต์ แหล่งอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุในประเทศอินเดีย และแหล่งอารยธรรมลุ่มแม่น้ำฮวงเหอในประเทศจีน เป็นต้น

2.2 ยุคเหล็ก (Iron Age) เริ่มเมื่อประมาณ 3,200 ปีมาแล้ว เป็นช่วงของการพัฒนาการทางเทคโนโลยีที่ต่อเนื่องจากยุคสำริด หลังจากที่มนุษย์สามารถนำทองแดงมาผสมกับดีบุกและหลอมเป็นโลหะผสมได้แล้ว มนุษย์ก็คิดค้นหาวิธีนำเหล็กซึ่งเป็นโลหะที่มีความแข็งและทนทานกว่าสำริดมาทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้และอาวุธ ด้วยการใช้อุณหภูมิในการหลอมที่สูงกว่าการหลอมสำริด แล้วจึงตีโลหะเหล็กในขณะที่ยังร้อนอยู่ให้เป็นรูปทรงที่ต้องการ เนื่องจากเหล็กใช้ทำเครื่องมือเครื่องใช้มีความเหมาะสมกับงานการเกษตรที่ต้องใช้ความแข็งแรงมากกว่าสำริดและมีความทนทานกว่าด้วย จึงทำให้มนุษย์ยุคเหล็กสามารถทำการเกษตรได้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้นนอกจากนี้เหล็กยังใช้ทำอาวุธที่มีความแข็งแกร่งและทนทานกว่าสำริด จึงทำให้สังคมมนุษย์ยุคนี้ที่พัฒนาเข้าสู่ยุคเหล็กและเข้าสู่ความเป็นรัฐได้ด้วยการมีกองทัพที่มีประสิทธิภาพกว่า สามารถปกป้องเขตแดนของตนเองได้ดีกว่า ทำให้สังคมเมืองของตนมีความมั่นคงปลอดภัย และในที่สุดก็สามารถขยายอิทธิพลไปยังดินแดนอื่นๆ ได้ในเวลาต่อมา

แหล่งอ้างอิง:http://yuttasin090.wordpress.com/category/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C/%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%AB%E0%B8%B0-metal-age/

ยุคหิน (Stone Age)

ยุคหิน (Stone Age)

เป็นยุคที่มนุษย์เริ่มรู้จักนำหินมาปรับใช้เป็นเครื่องมือเครื่องใช้หรืออุปกรณ์และอาวุธ นักโบราณคดีกำหนดให้ยุคหินของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ (สากล) อยู่ระหว่าง 2.5 ล้านปี ถึงประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว แต่เนื่องจากสิ่งที่เหลือเป็นหลักฐานอยู่จนถึงปัจจุบันมีเพียงชนิดเดียวคือหิน ดังนั้นเราจึงเรียกยุคนี้ว่า ยุคหิน ทั้งนี้ยุคหินตามพัฒนาการเทคโนโลยีการทำเครื่องมือเครื่องใช้ยังแบ่งออกเป็น 3 ยุคย่อย คือ ยุคหินเก่า ยุคหินกลาง และยุคหินใหม่ ดังนี้

1.1 ยุคหินเก่า (Paleolithic Period หรือ Stone Age) อยู่ระหว่าง 2,500,000 – 10,000 ปีมาแล้ว

ร 7

มนุษย์ในยุคนี้อาศัยอยู่ในถ้ำหรือเพิงผา ยังไม่มีความคิดสร้างที่อยู่อาศัยโดยใช้วัสดุธรรมชาติหรือตั้งรกรากถาวร ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์ หาปลา และเก็บหาผลไม้ในป่า เมื่ออาหารตามธรรมชาติหมดก็อพยพไปหาแหล่งอาหารที่อื่นต่อไป มนุษย์ยุคหินเก่ารู้จักประดิษฐ์เครื่องมืออย่างหยาบๆ เครื่องมือที่ใช้ทั่วไป คือ เครื่องมือหินกะเทาะ ที่มีลักษณะหยาบ ใหญ่ หนากะเทาะเพียงด้านเดียวหรือสองด้าน ไม่มีการฝนให้เรียบ มนุษย์ยุคหินเก่ารู้จักนำหนังสัตว์มาทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม รู้จักใช้ไฟเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ให้แสงสว่าง ให้ความปลอดภัย และหุงหาอาหาร มีการฝังศพ ทำพิธีกรรมเกี่ยวกับการตาย และมีการนำเครื่องมือเครื่องใช้และอาวุธต่างๆ ของผู้ตายฝังไว้ในหลุมด้วย นอกจากนี้มนุษย์ยุคหินเก่ายังรู้จักสร้างสรรค์งานศิลปะ ซึ่งพบภาพวาดตามผนังถ้ำที่ใช้สีฝุ่นสีต่างๆ ได้แก่ สีดำ น้ำตาล ส้ม แดงอ่อน และเหลือง ภาพที่วาดส่วนใหญ่เป็นภาพสัตว์ เช่น วัวกระทิง ม้าป่า กวางแดง เป็นต้น ภาพวาดที่มีชื่อเสียงของมนุษย์ยุคหินเก่าอยู่ที่ถ้ำลาสโก ประเทศฝรั่งเศส

1.2 ยุคหินกลาง (Mesolithic Period หรือ Middle Stone Age) อยู่ระหว่าง 10,000-6,000 ปีมาแล้ว

ร 10

มนุษย์ยุคนี้รู้จักทำเครื่องมือหินที่มีความประณีตมากขึ้นด้วยการกระเทาะผิวด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้งสองด้านออกให้เกิดความคม ทำให้เครืองมือหินในยุคนี้มีรูปทรงที่เหมาะแก่การใช้งานมากขึ้นกว่าเดิม เครื่องมือยุคหินกลางที่พบมีทั้งเครื่องมือสับ ตัด ขุด และทุบ หลักฐานเครื่องมือหินของมนุษย์ในยุคหินกลางพบในทวีปยุโรปและทวีปเอเชีย โดยพบครั้งแรกในเวียดนาม เรียกว่า วัฒนธรรมฮัวบิเนียน จัดเป็นวัฒนธรรมยุคหินกลางของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทยด้วย

1.3 ยุคหินใหม่ (Neolithic Period หรือ New Stone Age) อยู่ระหว่าง 6,000 – 4,000 ปีมาแล้ว

ร19

มนุษย์ยุคนี้มีความเจริญทางวัตถุมากกว่ายุคหินกลาง รู้จักควบคุมธรรมชาติมากขึ้น รู้จักพัฒนาการทำเครื่องมือหินอย่างประณีตโดยมีการขัดฝนหินทั้งชิ้นให้เป็นรูปร่างลักษณะต่างๆ เพื่อให้เครื่องมือมีประสิทธิภาพในการใช้สอยมากขึ้นกว่าเครื่องมือรุ่นก่อนหน้านี้ เช่น มีดหินที่สามารถตัดเฉือนได้แบบมีดโลหะ มีการต่อด้ามยาวเพื่อใช้แผ่นหินลับคมเป็นเสียมขุดดิน หรือต่อด้ามไม้สำหรับจับเป็นขวานหิน สามารถปั้นหม้อดินและใช้ไฟเผา สามารถทอผ้าจากเส้นใยพืชและทอเป็นเชือกทำเป็นแหหรืออวนจับปลา ลักษณะสำคัญอีกประการหนึ่งที่จำแนกมนุษย์ยุคหินใหม่ออกจากมนุษย์ยุคหินกลางก็คือการที่มนุษย์ยุคนี้รู้จักการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ในระดับที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น มีการปลูกข้าวและพืชอื่นๆ เช่น ถั่ว ฟัก บวบ และเลี้ยงสัตว์หลายชนิดมากขึ้น เช่น แพะ แกะ และ วัว ซึ่งก็คงทั้งไว้ใช้งานและเป็นอาหาร

แหล่งอ้างอิง:http://yuttasin090.wordpress.com/category/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C/%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%99-stone-age/

สงครามโลก ครั้งที่ 2

สงครามโลก ครั้งที่ 2

WW2Montage

สาเหตุการเกิดสงคราม
1. ความไม่เป็นธรรมของสนธิสัญญา หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ประเทศแพ้สงครามเกิดความรู้สึกเสมือนถูกบังคับ ซึ่งชาวเยอรมันเรียกว่า “สันติภาพมัดมือชก” จึงดำเนินการ ฉีกสัญญา ละเมิดข้อตกลง
2. ความแตกต่างของลัทธิการเมือง หลายประเทศฝักใฝ่ประชาธิปไตย ขณะที่อีกหลายประเทศเริ่มศรัทธาลัทธิเผด็จการ
3. วิกฤตทางเศรษฐกิจ เนื่องจากผู้แพ้ต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมหาศาล เกิดปัญหาเงินเฟ้อ ว่างงาน
4. ข้อขัดแย้งเรื่องดินแดน และอาณาเขตใหม่
5. ความไม่สามัคคีของมหาอำนาจ ผู้ชนะ ต่างฝ่ายต่างรักษาผลประโยชน์ของตน
6. ความล้มเหลวขององค์สันนิบาตชาติ ที่ตั้งขึ้นเพื่อผดุงรักษาสันติภาพของโลก แต่ไม่ได้มีอำนาจอย่างจริงจัง
7. ญี่ปุ่น ขณะนั้นเป็นประเทศอุตสาหกรรม ประเทศเดียวในเอเชีย ต้องการวัตถุดิบจากแหล่งอื่นเพื่อป้อนอุตสาหกรรมโรงงาน ประกอบกับนิยมลัทธิบูชิโด ประเมินตนเองเหนือกว่าทุกชาติในแถบเอเชีย ต้องการขยายจักรวรรดิ และเป็นผู้นำของเอเชีย

สถานการณ์สงคราม
สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มต้นขึ้นเมื่อ เยอรมนีบุกโปแลนด์ ในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 ก่อนที่เยอรมนีจะบุกโปแลนด์ วันที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 1939 กองกำลังเยอรมนีข้ามพรมแดนทางตะวันออกบุกเข้ายึดเชคโกสโลวาเกีย

ต่อมาในวันที่ 22 มีนาคม กองกำลังเยอรมนีบุกยึดเมืองท่าเมเมล ( Mamel ) ของลิทัวเนีย ( Lithuania ) บนชายฝั่งทะเลบอลติก และในวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 1939 เยอรมนีเรียกร้องยึดครองโปแลน์และดานซิก ( Danzing )

ดานซิกเป็นแคว้นอิสระจัดตั้งขึ้นตามข้อตกลงสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ปี 1919 ตั้งอยู่บนอ่าวดานซิกทางตอนเหนือของโปแลนด์

จากการเรียกร้องของเยอรมนี เป็นผลให้ในวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1939 อังกฤษและฝรั่งเศสได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะให้ความช่วยเหลือแก่โปแลนด์หากถูก เยอรมนีรุกราน

เมื่อมีการรุกรานอธิปไตยของประเทศต่างๆ ในยุโรป อังกฤษและฝรั่งเศสเห็นความจำเป็นต้องชักชวนรัสเซียเข้าเป็นพวกเพื่อการถ่วงดุลย์อำนาจทางยุโรป แต่ทางด้านเยอรมนีเกรงว่าจะถูกโจมตีสองด้าน เพราะเยอรมนีอยู่ระหว่างรัสเซียและฝรั่งเศส

เยอรมนีจึงรีบดำเนินการทางการทูตกับรัสเซียตัดหน้าอังกฤษและฝรั่งเศส เป็นผลให้ในวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 1939 เยอรมนีและรัสเซีย ร่วมลงนามในข้อตกลงไม่รุกรานกัน ปี 1939 ( The Nazi – Soviet Pact or The Nonaggression Pact of 1939 ) กำหนดไม่รุกรานกันหรือวางตนเป็นกลาง ขณะพันธมิตรรุกรานประเทศอื่น

ต่อมาในวันที่ 1 กันยายน 1939 กองกำลังเยอรมนีข้ามพรมแดนตะวันออก บุกโจมตีรุกรานดินแดนทางด้านตะวันตกของ โปแลนด์อย่างรวดเร็วถือเป็นการเริ่มสงครามโลกครั้งที่ 2

การรบในยุโรป

102809663

กองกำลังสัมพันธมิตรเป็นฝ่ายบุกเข้าโจมตีเยอรมนี เริ่มจากวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 1945 เป็นต้นไป และข้ามแม่น้ำไรน์ เข้าสู่เยอรมนีได้ในวันที่ 7 มีนาคม 1945 มุ่งเดินทัพเข้ากรุงเบอร์ลินทางตะวันตก

ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ รัสเซียมีชัยชนะสามารถผลักดันกองกำลังเยอรมนีออกจากยูเครน รูมาเนีย บัลกาเรีย ฮังการี และโปแลนด์ มุ่งเดินทัพเข้ากรุงเบอร์ลินตะวันออกที่กรุงเบอร์ลิน

102809652

ฮิตเลอร์ มั่นใจว่าเยอรมนีต้องพ่ายแพ้เป็นแน่ กองกำลังสัมพันธมิตรกำลังเคลื่อนเข้าสู่กรุงเบอร์ลิน และเกรงต้องรับโทษขั้นรุนแรงในฐานะอาชญากรสงครามจึง ฆ่าตัวตายในวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1945

กองกำลังสัมพันธมิตร ยึดกรุงเบอร์ลินได้ในวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 เป็นผลให้กองกำลังเยอรมนีใน ออสเตรีย เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ และ อิตาลี ยอมจำนน ฝ่ายมุสโสลินีถูกพรรคพวกจับได้และถูกฆ่าตาย ในวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1945

รัฐบาลใหม่ของเยอรมนียอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไขต่อผู้บังคับบัญชากองกำลัง สัมพันธมิตร คือ นายพล ดีไวท์ ดี. ไอเซนฮาวร์ ในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 ถือว่าเป็นวันสิ้นสุดการรบในยุโรป

การรบในเอเชีย-แปซิฟิก
ต้นปี ค.ศ. 1945 การรบเป็นไปอย่างดุเดือดเมื่อกองกำลังสัมพันธมิตรเคลื่อนเข้าใกล้หมู่เกาะ ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นได้ทำการต่อต้านอย่างแข็งกร้าวดุดันด้วยหน่วยพลีชีพ ปรากฎเด่นชัดในเดือน มีนาคม ค.ศ. 1945 เมื่อกองกำลังสัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่เกาะโอกินาวา ทหารอเมริกันบาดเจ็บและเสียชีวิตแปดหมื่นคน

สหรัฐฯ ยุติการทำสงครามในภาคพื้นทวีปเอเชีย โดยการใช้ระเบิดปรมาณูกับญี่ปุ่นเนื่องมาจาก สงครามในเอเชียและแปซิฟิกยืดเยื้อมาเป็นเวลานาน นับแต่วัน ที่ 7 ธันวาคม ค.ศ.1941 – 6 สิงหาคม 1945

อีกทั้งญี่ปุ่นเองยังคงยืนยันอย่างเป็นทางการในวันที่ 29 กรกฎาคม ค.ศ. 1945 ว่าจะคงทำสงครามต่อไปจนกว่าจะชนะ และต้องการรักษาชีวิตของทหารอเมริกันซึ่งเป็นกองกำลังหลักต้านทานการรบด้วย หน่วยพลีชีพของญี่ปุ่นสร้างความเสียหายอย่างมากต่อกองกำลังอเมริกัน การใช้ระเบิดปรมาณูจะช่วยรักษาชีวิตทหารอเมริกันได้ถึง 250000 คน และคณะนายทหารอเมริกันนำโดยรัฐมนตรีกระทรวงสงคราม คือ เฮนรี เอล. สตีมสัน ให้การสนับสนุนเห็นสมควรใช้ระเบิดปรมาณูเพื่อปราบปรามญี่ปุ่นขั้นทำลายล้าง เด็ดขาดเพื่อบังคับให้ญี่ปุ่นยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไข

เช้าวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1945 เวลา 8.15 น. ระเบิดปรมาณูลูกแรกถูกทิ้งลงที่เมืองฮิโรชิมา บนเกาะฮอนชู แรงระเบิดสร้างความเสียหายครอบคลุมพื้นที่สี่ตารางไมล์ คนบาดเจ็บและตายกว่า 135000 คน

ในวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1945 รัสเซียประกาศสงครามกับญี่ปุ่นและเคลื่อนกองกำลังรัสเซียเข้าแมนจูเรีย ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่น ทำลายขวัญและกำลังใจของญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก เพื่อบีบบังคับให้ญี่ปุ่นยอมจำนนยุติสงคราม

Truman

Harry S. Truman ประธานาธิบดี ทรูแมน ( ประธานาธิบดี รูสเวลท์ เสียชีวิตในวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1945 มีผลให้รองประธานาธิบดี คือ ฮา ร์รี เอส. ทรูแมน Harry S. Truman เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีลำดับที่ 33 ของ สหรัฐอเมริกา )ตัดสินใจสั่งทิ้งระเบิดปรมาณูลูกที่สองในวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1945 ที่เมืองนางาซากิ บนเกาะคิวชู

สร้างความเสียหายอย่างมากเป็นครั้งที่สองแก่องค์ จักรพรรดิฮิโรฮิโต เรียกร้องให้คณะรัฐบาลญี่ปุ่นยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไขเพื่อรักษาชาติพันธุ์ ญี่ปุ่น เป็นผลให้ในวันที่ 10 สิงหาคม ค.ศ. 1945 เป็นวันยุติการรบในเอเชียแปซิฟิก

การลงนามอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1945 บนดาดฟ้าเรือรบมิสซูรี ในอ่าวโตเกียว เป็นการเสร็จสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2

สงครามโลกครั้งที่ 2 ใช้สมรภูมิรบสามทวีปสองมหาสมุทร คือ

ในทวีปยุโรปและมหาสมุทรแอตแลนติก เริ่มการรบในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 ยุติในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1945

ในทวีปแอฟริกาเริ่มการรบในวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 1940 ยุติในวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1943

ในทวีปเอเชียและมหาสมุทรแปซิฟิกเริ่มการรบในวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ.1941 ยุติในวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1945
โดยฝ่ายสัมพันธมิตร 57 ชาติเป็นผู้มีชัยชนะ ฝ่ายอักษะ นำโดย เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2

การยุติการรบ

109345070

ในเอเชียและแปซิกฟิก การรบในเอเชียยุติในวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1945 ญี่ปุ่นยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไข

ผลของสงคราม ประชากรโลกเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก กล่าวคือ
ทหารอเมริกันเสียชีวิต 4 แสนนาย
ทหารรัสเซียเสียชีวิต 20 ล้านนาย
ทหารโปแลนด์เสียชีวิต 5.8 ล้านนาย
ทหารเยอรมนีเสียชีวิต 4.5 ล้านนาย
ทหารญี่ปุ่นเสียชีวิต 2 ล้านนาย
ทหารในกลุ่มประเทศยุโรปรวมเสียชีวิต 35 ล้านนาย

สงครามก่อให้เกิดผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ภายหลังจากสงครามประเทศต่างๆ ต้องหันกลับมาพัฒนาประเทศของตนให้กลับสู่สภาพเดิม และสร้างความมั่นคงให้กับประเทศ

ถึงแม้ว่าในปัจจุบันประเทศต่างๆ พยายามที่จะหลีกเลี่ยงสงคราม แต่ก็จะหันมาแข่งขันพัฒนาทางด้านเทคโนโลยี ในด้านต่างๆ ให้มีความทันสมัยเหนือนานาประเทศ

แหล่งอ้างอิง:http://social-ave.blogspot.com/2010/03/2.html

สงครามโลกครั้งที่ 1

สงคราม คือสิ่งเลวร้ายที่สุดที่มนุษย์กระทำต่อกัน เพราะเมื่อใดที่เกิดภาวะสงคราม ย่อมหมายถึง การสูญเสีย ความเสียหายและความทุกข์ทรมานของทุกฝ่าย ไม่ว่าสุดท้ายฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะก็ตาม อย่างเช่นในสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่มีการสู้รบและสูญเสียต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลาหลายปี บทเรียนนี้ทำให้เราควรย้อนกลับมาดูปมของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นว่า สงครามครั้งนี้เริ่มต้นจากอะไร ฝ่ายไหนได้รับชัยชนะและไทยมีบทบาทในสงครามโลกครั้งนี้อย่างไร มาติดตามเรื่องราวกันได้เลย

WW1_TitlePicture_For_Wikipedia_Article

สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 1

สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นสงครามที่เริ่มและมีศูนย์กลางอยู่ในทวีปยุโรป ชนวนเหตุสำคัญของความขัดแย้งเริ่มจาก เมื่อ วันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1914 เกิดการลอบปลงพระชนม์ อาร์ช ดยุก ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ มกุฎราชกุมารแห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ขณะเสด็จเยือนกรุงซาราเจโว เมืองหลวงของแคว้นบอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา โดย กัฟรีโล ปรินซีป นักชาตินิยมชาวเซอร์เบีย ออสเตรีย-ฮังการี เชื่อว่า เซอร์เบียอยู่เบื้องหลังในการกระทำดังกล่าว จึงยื่นคำขาดต่อราชอาณาจักรเซอร์เบีย เป็นข้อเรียกร้อง 10 ประการ ซึ่งมีเจตนาทำให้ยอมรับไม่ได้และจุดชนวนสงครามขึ้น เมื่อเซอร์เบียยอมตกลงในข้อเรียกร้องเพียง 8 ข้อ ออสเตรีย-ฮังการี จึงประกาศสงครามเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1914

ทั้งนี้ ตัวเร่งไฟสงครามให้โหมกระหน่ำมาจากปมปัญหาเรื่องสมดุลอำนาจที่สั่งสมมานานของหลายประเทศในภาคพื้นยุโรป ทั้งเรื่องการแข่งขันทางเศรษฐกิจ การแย่งชิงอาณานิคมและระบบภาคีพันธมิตรที่แบ่งเป็น 2 ฝ่ายมหาอำนาจก่อนหน้านี้ โดยแยกเป็น ฝ่ายสัญญาไตรภาคี ประกอบด้วย เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี อิตาลี และฝ่ายสัญญาไตรพันธมิตร ประกอบด้วย อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย ซึ่งชาติพันธมิตรเหล่านี้ รวมถึงชาติอาณานิคมของแต่ละประเทศ ต่างถูกดึงให้เข้าร่วมในสงคราม ทำให้ความขัดแย้งลุกลามไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว

สงครามเปิดฉากในวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1914 วันเดียวกับการประกาศสงคราม ประเทศออสเตรีย-ฮังการี ได้เปิดฉากรุกรานเซอร์เบียเป็นครั้งแรก ส่วนเยอรมันที่อยู่ฝ่ายเดียวกัน ก็เปิดฉากรุกรานเบลเยียม เป็นจุดเริ่มของสงครามที่ยากเกินจะยับยั้งอีกต่อไป

สงครามครั้งนี้แบ่งเป็น 2 ฝ่ายคือ ฝ่ายมหาอำนาจไตรภาคีมี ฝรั่งเศส อังกฤษ รัสเซีย และประเทศอาณานิคม หลังจากนั้นได้มีชาติมหาอำนาจเข้าร่วมเพิ่มเติมคือ จักรวรรดิญี่ปุ่น เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 1914 , อิตาลี เมื่อเดือนเมษายน ปี 1915 และสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนเมษายน ปี 1917

ส่วนอีกฝ่ายคือ ฝ่ายมหาอำนาจกลาง ประกอบด้วย จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี จักรวรรดิเยอรมนีและดินแดนอาณานิคม จากนั้นมีจักรวรรดิออตโตมาน เข้าร่วมด้วยในเดือนตุลาคม ปี 1914 และบัลแกเรียในปี 1915 มีประเทศที่วางตัวเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดคือ เนเธอร์แลนด์ สเปน และประเทศตามคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย แม้ว่าประเทศเหล่านี้อาจจะเคยส่งเสบียงและยุทโธปกรณ์ไปช่วยเหลือบางประเทศที่รบอยู่ก็ตาม

การสู้รบที่เกิดขึ้นตามแนวรบด้านตะวันตก จะเป็นการรบรูปแบบ สนามเพลาะ (การขุดหลุมเป็นแนวยาวหลายแนวสลับซับซ้อนกัน ด้านหน้าสร้างลวดหนามไว้ต้านทานข้าศึก) และป้อมปราการซึ่งถูกแยกออกจากกันด้วยดินแดนรกร้าง แนวปราการทั้ง 2 ฝ่าย จะตรึงขนานกันเป็นระยะมากกว่า 600 กิโลเมตร

ส่วนในแนวรบด้านตะวันออก เนื่องจากเป็นที่ราบกว้างขวางและมีเครือข่ายทางรถไฟจำกัด ทำให้ไม่สามารถรบรูปแบบสนามเพลาะได้ แม้ว่าความรุนแรงจะไม่ต่างจากด้านตะวันตกก็ตาม ขณะที่แนวรบตะวันออกกลางและแนวรบอิตาลี ก็มีการสู้รบกันอย่างดุเดือดเช่นกัน สงครามครั้งนี้ยังเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของการรบทางอากาศอีกด้วย

หลังจากการรบที่ยาวนานตั้งแต่ วันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1914 ถึงวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 รวมเวลากว่า 4 ปี 4 เดือน ในที่สุด ฝ่ายที่ได้รับชัยชนะคือ ฝ่ายพันธมิตรที่มีแกนนำเป็น ฝรั่งเศส อังกฤษ รัสเซีย ส่วนฝ่ายที่พ่ายแพ้คือ ฝ่ายมหาอำนาจกลาง ที่ประกอบด้วย จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี จักรวรรดิเยอรมนี ภายหลังสงครามได้มีการเซ็นสนธิสัญญาจำนวนมาก แต่สัญญาที่สำคัญคือ สนธิสัญญาแวร์ซายส์ (สนธิสัญญาสันติภาพ ซึ่งเป็นการยุติสถานะสงครามระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรและจักรวรรดิเยอรมัน) เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1919

ผลกระทบของสงครามโลกครั้งที่ 1
ผลสำคัญอย่างหนึ่งคือ มีการวาดรูปแผนที่ยุโรปใหม่ ทำให้ประเทศมหาอำนาจสูญเสียดินแดนของตัวเองเป็นจำนวนมาก
– จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี แตกออกเป็นประเทศใหม่ ได้แก่ ออสเตรีย ฮังการี เชโกสโลวาเกีย ยูโกสลาเวีย
– จักรวรรดิออตโตมานล่มสลายไป แผ่นดินเดิมของจักรวรรดิบางส่วน ถูกแบ่งให้กลายเป็นอาณานิคมของผู้ชนะสงครามทั้งหลาย
– เยอรมัน ต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมหาศาล
– จักรวรรดิรัสเซีย ได้สูญเสียดินแดนชายแดนด้านตะวันตกจำนวนมาก กลายเป็นประเทศใหม่ ได้แก่ เอสโตเนีย ฟินแลนด์ ลัตเวีย ลิทัวเนียและโปแลนด์

ขณะเดียวกัน ผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้มีการก่อตั้ง สันนิบาตชาติ เป็นองค์การที่มีสมาชิกหลายประเทศ โดยมีจุดประสงค์อยู่ที่การแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศด้วยวิธีการทางการทูตสหรัฐอเมริกาที่ได้เข้าร่วมรบ ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจโลกเสรีเคียงคู่กับอังกฤษและฝรั่งเศส ส่วนรัสเซียกลายเป็นมหาอำนาจโลกสังคมนิยม ต่อมาสามารถขยายอำนาจไปผนวกกับแคว้นต่าง ๆ เช่น ยูเครน เบลารุส ฯลฯ จึงประกาศจัดตั้งสหภาพโซเวียต (Union of Soviet Republics -USSR) ในปี ค.ศ. 1922

ส่วนสนธิสัญญาแวร์ซาย ที่ร่างโดยฝ่ายชนะสงครามให้กับเยอรมนีและสนธิสัญญาสันติภาพอีก 4 ฉบับให้กับพันธมิตรของเยอรมนีนั้น ก็เพื่อให้ฝ่ายผู้แพ้ยอมรับผิดในฐานะเป็นผู้ก่อให้เกิดสงคราม แล้วต้องเสียค่าปฏิกรรมสงคราม เสียดินแดนทั้งในยุโรปและอาณานิคม ต้องลดกำลังทหารกับอาวุธ และต้องถูกพันธมิตรเข้ายึดครองดินแดน จนกว่าจะปฏิบัติตามเงื่อนไขของสนธิสัญญา แต่เนื่องจากประเทศผู้แพ้ไม่ได้เข้าร่วมในการร่างสนธิสัญญา แต่ถูกบีบบังคับให้ลงนามยอมรับข้อตกลงของสนธิสัญญา จึงเกิดการต่อต้านในหลายประเทศ เช่น การก่อตัวของลัทธิฟาสซิสต์ในอิตาลี นาซีในเยอรมันและเผด็จการทหารในญี่ปุ่น ซึ่งในเวลาต่อมา ประเทศมหาอำนาจทั้ง 3 ได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรระหว่างกัน เพื่อต่อต้านโลกเสรีและคอมมิวนิสต์ เรียกกันว่าฝ่ายอักษะ (Axis) มีการจัดตั้งองค์กรกลางในการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างประเทศ เพื่อความมั่นคงปลอดภัยและสันติภาพของโลกในอนาคต

ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ 1
สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้เกิดขึ้นตรงกับ พ.ศ. 2457 ขณะนั้นประเทศไทยวางตัวเป็นกลาง แต่เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงติดตามสถานการณ์สงครามอย่างใกล้ชิด แล้วทรงเห็นว่าฝ่ายเยอรมันเป็นฝ่ายที่รุกราน จึงทรงตัดสินพระทัยประกาศสงครามกับเยอรมนีและออสเตรีย -ฮังการี เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 จึงมีการประกาศเรียกพลทหารอาสาสำหรับกองบินและกองยานยนตร์ทหารบก เพื่อเข้าร่วมรบในสมรภูมิยุโรป

การไปร่วมรบครั้งนี้ทหารไทยได้ประสบกาณ์มากมาย ทั้งทางเทคนิคการรบ และทางการช่างในสงครามจริง ไทยยังได้เปลี่ยนธงชาติที่มีสัญลักษณ์รูปช้าง เป็นธงไตรรงค์เพื่อใช้ในการนี้ด้วย

หลังสงครามเสร็จสิ้น ฝ่ายสัมพันธมิตรที่ไทยไปช่วยรบได้รับชนะ ไทยได้รับเชิญให้เข้าเป็นสมาชิกประเภทริเริ่มองค์การสันนิบาตชาติ อันเป็นหลักประกันความปลอดภัยของประเทศ ทั้งยังได้รับเกียรติเข้าร่วมทำสนธิสัญญาแวร์ซาย ได้ทำการยกเลิกสัญญาที่เคยทำไว้กับออสเตรีย – ฮังการีและเยอรมัน ต่อมามีการสร้างอนุสาวรีย์ที่เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งนี้ และในด้านการทหาร ได้จัดตั้งกรมอากาศยานขึ้นเป็นครั้งแรกอีกด้วย

ได้ทราบถึงประวัติความเป็นมาของสงครามโลกครั้งที่ 1 ไปแล้ว เชื่อว่าหลายคนคงได้ข้อคิดสำคัญคือ ไม่ควรแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ด้วยความรุนแรง เพราะนอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้ว ยังเพิ่มความรุนแรงให้กับปัญหาได้อีกด้วยครับ

แหล่งอ้างอิง:http://hilight.kapook.com/view/80035

การปฏิวัติอุตสาหกรรม

การปฏิวัติอุตสาหกรรม เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในระบบและวิธีการผลิต คือ เปลี่ยนจากการใช้แรงงานคนและสัตว์มาเป็นเครื่องจักรกลที่สลับซับซ้อน และมีประสิทธิภาพมากขึ้น การปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรปเริ่มขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่ 21 เกิดในประเทศอังกฤษเป็นประเทศแรก โดยในระยะแรกเรียกว่า สมัยแห่งพลังไอน้ำ ซึ่งต่อมาจึงได้เกิดเครื่องจักรไอน้ำของเจมส์ วัตต์ขึ้นเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมทั่วไป

capitalism-2

การปฏิวัติอุตสาหกรรมในระยะที่สองประมาณ พ.ศ.2403-2457 เริ่มมีการใช้แก๊ส น้ำมันปิโตรเลียม และไฟฟ้า แทนถ่านหินและไอน้ำ ซึ่งการใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานหลักของอุตสาหกรรม ส่วนการผลิตด้านการเกษตรกรรมก็เปลี่ยนมาเป็นการผลิตสินค้าเฉพาะอย่างเพื่อการค้า

ร 53

สาเหตุของการปฏิวัติอุตสาหกรรม
• ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ จึงเกิดความสนใจที่จะประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เพื่อใช้ในการอุตสาหกรรม
• การสำรวจทางทะเลและการแสวงหาอาณานิคม ทำให้มีแหล่งวัตถุดิบและตลาดระบายสินค้า เป็นการกระตุ้นให้การค้าขยายตัว จึงสนับสนุนให้คิดประดิษฐ์เครื่องจักร
• ความมั่นคงและเสรีภาพทางการเมืองในยุโรป ทำให้พ่อค้า นายทุน และนักอุตสาหกรรม มีสิทธิมีเสียงในการปกครองประเทศ การอุตสาหกรรมจึงได้รับการสนับสนุนให้เจริญก้าวหน้า

ผลของการปฏิวัติอุตสาหกรรม
• การเพิ่มของจำนวนประชากร เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจจากเกษตรกรรมมาเป็นอุตสาหกรรม เกิดการขยายตัวของชุมชนเมือง และความเจริญก้าวหน้าด้านการแพทย์และสาธารณสุข
• การขยายตัวของสังคมเมือง เกิดเมืองใหม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการอพยพของผู้คนในชนบทเข้ามาทำงานในเมือง ทำให้เกิดปัญหาสังคม เกิดอาชีพใหม่ๆ ชนชั้นกลางและพ่อค้านายทุนเข้ามามีบทบาทในสังคมมากขึ้น
• การแสวงหาอาณานิคมและลัทธิจักรวรรดินิยม ประเทศยุโรปที่มีการปฏิวัติการผลิตด้านอุตสาหกรรมมีความจำเป็นต้องแสวงหาแหล่งวัตถุดิบป้อนโรงงาน และขยายตลาดระบายสินค้า จึงเกิดการแข่งขันแสวงหาอาณานิคมขึ้น
• มีความเจริญก้าวหน้าต่อไปไม่หยุดยั้งในคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีการใช้วัสดุอื่นแทนวัสดุธรรมชาติพลาสติก เช่น พลาสติก อัลลอยไปจนถึงการใช้ระบบคอมพิวเตอร์

แหล่งอ้างอิง:http://www.skb.ac.th/~skb/computor/ganjana/west_modern_factory.htm

การปฏิวัติการเกษตร

การปฏิวัติการเกษตร

ร 52

หมายถึง การเปลี่ยนแปลงจุดมุ่งหมายการผลิตทางการเกษตรจากการผลิตเพื่อบริโภคภายในครัวเรือน มาเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายตามความต้องการของตลาด โดยมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการผลิตเพื่อให้ได้ผลผลิตมากขึ้น ด้วยการพัฒนาเทคนิคการผลิต ซึ่งเกี่ยวข้องกับการบำรุงที่ดินที่เพาะปลูก การใช้ปุ๋ยช่วยเร่งการผลิต การปลูกพืชผลไม้ชนิดใหม่ๆ การปลูกพืชหมุนเวียน การใช้เครื่องมือแผนใหม่ทางการเกษตร ตลอดจนการปรับปรุงพันธุ์พืชและสัตว์เลี้ยงให้ดีขึ้น

การปฏิวัติการเกษตรเกิดขึ้นก่อนในประเทศอังกฤษเมื่อต้นศตวรรษที่ 18 เป็นการปฏิวัติอย่างค่อยเป็นค่อยไปจนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างขนาดใหญ่ ซึ่งมีปัจจัยที่สำคัญ คือ

1. การเพิ่มขึ้นของประชากรของอังกฤษ

2. การเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าเกษตร

3. ความต้องการวัตถุดิบและผลผลิตทางการเกษตรเพื่อป้อนโรงงานอุตสาหกรรม

4. การลงทุนทางด้านการเกษตรอย่างมากมายของบรรดานายทุน

แหล่งอ้างอิง:http://www.thaigoodview.com/node/50191

สมัยภูมิธรรม

ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 อาจเรียกว่า สมัยภูมิธรรม เนื่องจากอำนาจของศาสนจักรที่มีมาในยุคมืดเริ่มเสื่อมลง ประชาชนให้ความสำคัญกับกษัตริย์มากขึ้น เป็นยุคที่เน้นถึงเรื่องของความเป็นธรรมในสังคม กษัตริย์ต้องมีความยุติธรรม มีคุณธรรม เพราะประชาชนเริ่มเข้ามามีบทบาททางการเมืองมากยิ่งขึ้น เช่น การแสดงความคิดเห็นทางการเมือง การเรียกร้องความเท่าเทียมกันในสังคม เป็นต้น

สภาพของเหตุการณ์โดยสรุป

ยุคภูมิธรรม เป็นอีกขบวนการที่สืบเนื่องจากการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ แต่เป็นขบวนการทางความคิดเกี่ยวกับลัทธิมนุษย์นิยม ที่ว่า ถึงแม้ว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์และธรรมชาติ แต่มนุษย์เป็นผู้มีเหตุผลที่จะเลือกทำความดี และสามารถนำความเจริญมาสู่สังคม ความคิดนี้สืบเนื่องมาจากความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ส่งผลต่อแนวความคิดแบบภูมิธรรมซึ่งเริ่มพัฒนาขึ้นในประเทศฝรั่งเศส

ในยุคนี้นักปรัชญาชาวยุโรปหันไปศึกษางานเขียนของชาวกรีกและโรมันซึ่งมีอิทธิพลที่ทำให้นักคิดในยุคภูมธรรมยอมรับความแตกต่างทางความคิด วัฒนธรรม และให้ความสำคัญสำหรับการใช้ชีวิตในโลกนี้มากกว่าโลกหน้า

ร 50

แนวคิดทางการเมืองที่เกิดขึ้นในยุคภูมิธรรมนี้ ทำให้สังคมมีวิธีการปกครองที่ดี คือ มีกฎหมายเป็นหลักสำคัญในการปกครองและนำไปสู่ระบอบประชาธิปไตย ทำให้ประชาชนมีเสรีภาพในด้านความคิด และเสรีภาพส่วนบุคคล ทำให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้นและมีความก้าวหน้าทางภูมิปัญญามีเสรีนิยมที่กระจายไปทั่วโลก และมีเสรีภาพและความเสมอภาคซึ่งเป็นอุดมคติหลักของสังคมประชาธิปไตย

แหล่งอ้างอิง:www.bwc.ac.th/e-learning/kanidtapron/poom.ppt

นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญในสมัยปฏิวัติวิทยาศาสตร์

ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 – 17 นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบองค์ความรู้ที่ก่อประโยชน์มหาศาลให้แก่มนุษยชาติ นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญ เช่น

05

นิโคลัส คอเปอร์นิคัส (Nicholas Copernicus) เป็นนักดาราศาสตร์ชาวโปแลนด์ซึ่งค้นพบทฤษฎีสุริยจักรวาล คอเปอร์นิคัสพบว่าโลกมีสัณฐานกลมและเป็นดาวดวงหนึ่งในระบบสุริยจักรวาล

011

กาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei) เป็นนักวิทยษสาสตร์ชาวอิตาลีซึ่งยืนยันตามทฤษฎีของคอเปอร์นิคัส โดยใช้เครื่องมือที่เขาประดิษฐ์ขึ้น เรีกยว่า “กล้องโทรทรรศน์ (Telescope)” ในการศึกษาระบบสุริยจักรวาล และค้นพบข้อมูลจำนวนมาก เช่น พื้นที่บนดวงจันทร์ วงแหวนของดาวเสาร์ จุดดับบนดวงอาทิตย์ ฯลฯ

258

โยฮัน เคปเลอร์ (Johann Kepler) เป็นนักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมันที่ใช้คณิตศาสตร์ในการคำนวณการโคจรของดาวเคราห์ในระบบสุริยจักรวาล และค้นพบกฎการเคลื่อนที่ของดวงดาว

57

เซอร์ฟรานซิส เบคอน (Sir Francis Bacon) เป็นนักวิทยาศาตร์ชาวอังกฤษซึ่งส่งเสริมการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ โดยวิธีการศึกษาแบบอุปนัย (inductive method) เขาเชื่อว่าความรู้ของมนุษย์เกิดจากประสบการณ์ ส่วนวิธีการที่ได้มาซึ่งประสบการณ์คือ ต้องศึกษาข้อมูลที่มีอยูจริงในธรรมชาติอย่างกว้างขวางและรวบรวมข้อมูลเหล่านั้น ก่อนนำมาวิเคราะห์และสรุปเป็นองค์ความรู้หรือทฤษฎีวิธีการศึกษานี้เรียกว่า วิธีการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ หรือ Scientific Method

89

เรอเน เดสการ์ต (Rene Descartes) เป็นนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียง ซึ่งเป็นผู้เสนอหลักของเหตุผล เขาอธิบายว่าความรู้และความคิดของมนุษย์ต้องตั้งอยู่บนหลักของเหตุผล ที่อธิบายและตรวจสอบได้เช่นเดียวกับหลักคณิตศาสตร์ ดังนั้นหากความรู้และความเชื่อใดที่ยอมรับกันต่อๆ มาไม่น่าเชื่อถือ เพราะไม่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักเหตุผล มนุษย์ก็ต้องแสวงหาความรู้ใหม่ที่ได้รับการยอมรับ

87

เซอร์ไอแซค นิวตัน (Sir Issac Newton) เป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤาซึ่งค้นพบแรงโน้มถ่วงของโลก และให้ข้อสรุปเกี่ยวกับการโคจรและการเคลื่อนไหวในระบบสุริยจักรวาลว่าเป็นไปตามกฎแห่งความโน้มถ่วง (Law of Gravitation)

แหล่งอ้างอิง:http://metricsyst.wordpress.com/2013/02/24/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95/

การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์

การปฏิวัติวิทยาศาสตร์๋เริ่มขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นผลมาจากการพัฒนาคาวมคิดที่ยึดหลักเหตุผลซึ่งได้รับอิทธิพลจากขบวนการมนุษย์นิยมในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ยังส่งผลให้เกิดการค้นคว้าเพื่อแสวงหาความรู้ใหม่ๆ และการเปลี่ยนแปลงองค์ความรู้ของมนุษยชาติ

ร 53

ปัจจัยส่งเสริมการปฏิวัติวิทยาศาสตร์

แนวคิดของนักมนุษย์นิยมที่ให้ความสำคัญกับการใช้หลักเหตุผลในการแสวงหาความจริงและการฟื้นฟูวิทยาการสมัยคลาสสิกเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ในยุโรป

การใช้หลักเหตุผลในการแสวงหาความจริง

ความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ธรรมชาติซึ่งเป็นที่ยอมรับกันมาตั้งแต่ต้นคริสต์ศักราชจนถึงปลายสมัยกลาง เช่น การยอมรับว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล และพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก ล้วนเป็นการยอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้งหรือการพิสูจน์ใดๆ ต่อมาเมื่อมีการส่งเสริมให้ใช้หลักเหตุผลในการแสวงหาความจริง นักวิทยาศาสตร์จึงเริ่มตั้งข้อสงสัยต่อความจริง และเริ่มศึกษาโดยวิธีการสังเกต รวบรวมข้อมูลและทดลอง ก่อนสรุปเป็นองค์ความรู้หรือทฤษฎี วิธีการศึกษาดังกล่าวได้ชื่อว่าเป็น “วิธีการแบบวิทยาศาสตร์” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ เพราะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงองค์ความรู้และเกิดการศึกษาค้นคว้าต่อไปเพื่อให้ไดคำตอบที่เป็นความจริง

การฟื้นฟูวิทยาการสมัยคลาสสิก

การศึกษาองค์ความรู้เกี่ยวกับวิทยาการสมัยคลาสสิก ทำให้นักวิทยาศาสตร์ยุโรปเรียนรู้ความคิดที่ก้าวหน้าและการใช้หลักเหตุผลของนักปราชญ์ชาวกรีกและโรมัน เช่น อริสโตเติล ยูคลิด (Euclid) อาร์คิมิดิส (Archemedes) แนวคิดดังกล่าวช่วยให้นักวิทยาศาสตร์หลุดออกจากกรอบความคิดที่ถูกกำหนดโดยอิทธิพลของศาสนา นอกจากนี้ความก้าวหน้าด้านการพิมพืยังช่วยให้องค์ความรู้ใหม่ๆ ด้านวิทยาศาสตร์ได้เผยแพร่สู่สังคม และเป็นที่ยอมรับกันต่อมา

ร 48

ผลของการปฏิวัติวิทยาศาสตร์

ความสำเร็จของการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ทำให้โลกก้าวสู่สมัยใหม่ที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และความก้าวหน้าด้านภูมิปัญญา

ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ทำให้สังคมยอมรับวิทยาการสมัยใหม่และทำให้การศึกษาวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์สมัยต่อมาได้ศึกษาค้นคว้าองค์ความรู้เพิ่มเติมจากทฤษฎีที่นักวิทยาศาสตร์รุ่นแรกๆ ค้นคว้าไว้ นอกจากนี้การศึกษาค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ยังขยายออกไปหลายสาขา เช่น การแพท์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ฯลฯ อนึ่ง ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ได้ส่งเสริมให้มีการประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยีหลากหลาย เช่น เครื่องทุ่นแรงและเครื่องจักรต่างๆ ส่งผลให้เทคโนโลยีและสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของมนุษย์จนถึงปัจจุบัน

ความก้าวหน้าทางด้านภูมิปัญญา

การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ยังส่งผลต่อการศึกษาและการพัฒนาความคิดในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ซึ่งเป็นสมัยที่มีความก้าวหน้าทางภูมิปัญญาทุกด้าน ทั้งด้านปรัชญา การเมือง เศรษฐกิจและสังคม จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นสมัยภูมิธรรม (Age of Enlightenment) หรือยุคเหตุผล (Age of Reason) ผู้นพความคิดในการใช้หลักเหตุผล (rationalism) ของสมัยนี้คือ นักปราชญ์ฝรั่งเศส นำโดย วอลแตร์ (Voltaire) และมงเตสกิเออ (Montesquieu) อนึ่ง นักคิดในสมัยนี้ได้นำหลักเหตุผลแบบการศุกษาวิทยาศาสตร์ไปใช้ในการศึกษาศาสตร์แขนงต่างๆ และสันบสนุนการใช้เสรีภาพในการคิดวิเคราะห์ และการวิพากษ์ ทำให้มีผลงานของนักปราชญ์การเมืองคนสำคัญที่มีอิทธิพลต่อความคิดของประชาชน เช่น ผลงานของจอห์น ล็อก (John Locke) นักปราชญ์การเมืองชาวอังกฤษ วอลแตร์ มงเตสกิเออ และรูสโซ (Rousseau)

โดยสรุปการปฏิวัติวิทยาศาตร์เป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาความคิดและสติปัญญาของมนุษย์และทำให้สังคมโลกก้าวสู่สมัยแห่งความก้าวหน้าที่มีการศึกษาค้นคว้าและพัฒนาความเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่หยุดยั้ง อนึ่ง การที่การปฏิวัติวิทยาศาสตร์เริ่มต้นจากดินแดนยุโรป จึงทำให้ยุโรปมีความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากกว่าดินแดนอื่นๆ และเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญของยุโรป

แหล่งอ้างอิง:http://metricsyst.wordpress.com/2013/02/24/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95/

ศิลปินคนสำคัญยุค Renaissance

49

เลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo da Vinci) จิตรกรชาวอิตาลี

เลโอนาร์โด ดา วินชี (อิตาลี: Leonardo da Vinci) เป็นชาวอิตาลี (เกิดที่เมืองวินชี วันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1452 – เสียชีวิตที่เมืองออมบัวซ์ ในวันที่2 พฤษภาคม ค.ศ. 1519) เป็นอัจฉริยบุคคลที่มีความสามารถหลากหลาย เป็นทั้ง สถาปนิกแบบเรอเนซองส์ นักดนตรี นักกายวิภาค นักประดิษฐ์ วิศวกร ประติมากร นักเรขาคณิต นักวาดภาพ. ดา วินชี มีงานศิลปะที่มีชื่อเสียงหลายชิ้น เช่น พระกระยาหารมื้อสุดท้าย และ โมนา ลิซ่า งานของ ดา วินชี ยังสร้างคุณประโยชน์กับวิชากายวิภาคศาสตร์ ดาราศาสตร์ รวมถึงวิศวกรรมโยธา ด้วยความที่เป็นบุรุษที่มีจิตวิญญาณที่รักในศาสตร์หลายแขนง เลโอนาร์โดทำให้เกิดจิตวิญญาณของสหวิทยาการในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ และกลายเป็นบุคคลสำคัญของยุคนั้น

เลโอนาร์โด เกิดเมื่อวันที่ 15 เมษายน โดยที่ที่เขาเกิดอยู่ห่างจากหมู่บ้านวินชี ในประเทศอิตาลี ไปราวสองกิโลเมตร บิดาชื่อนายแซร์ ปีเอโร ดา วินชีเป็นเจ้าพนักงานรับรองเอกสารของรัฐ มารดาชื่อคาตารีนา เป็นสาวชาวนา เคยมีคนอ้างว่านางคาตารีนาเป็นทาสสาวจากประเทศแถบตะวันออกในครอบครองของปีเอโร แต่ก็ไม่มีหลักฐานเด่นชัด

ในสมัยนั้นยังไม่มีมาตรฐานการเรียกชื่อและนามสกุลที่เป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายในทวีปยุโรป ทำให้ชื่อและนามสกุลของดา วินชี ที่แท้จริงคือเลโอนาร์โด ดิ แซร์ ปีเอโร ดา วินชี ซึ่งหมายความว่า เลโอนาร์โด บุตรชายของปีเอโร แห่ง วินชี แต่เลโอนาร์โดเองก็มักจะลงลายเซ็นในงานของเขาอย่างง่ายๆว่า เลโอนาร์โด หรือไม่ก็ ข้าเอง เลโอนาร์โด เอกสารสำคัญส่วนใหญ่ระบุว่าผลงานของเขาเป็นของ เลโอนาร์โด โดยไม่มี ดา วินชี พ่วงท้าย ทำให้เข้าใจได้ว่าเขาไม่ได้ใช้นามสกุลของบิดาเนื่องจากเป็นบุตรนอกสมรสนั่นเอง

michelangelo

ไมเคิลแองเจโล (Michelangelo)

ไมเคิล แองเจิลโล ถือเป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุคที่รุ่งเรืองที่สุด คือ ยุคเรเนซองส์ ซึ่งเป็นยุคสมัยที่รู้จักกันดีถึงความเจริญทางด้านศิลปกรรม ความก้าวหน้าทั้งทาง ด้านวิทยาศาสตร์ การประดิษฐ์คิดค้น วรรณกรรมตลอดจนไปถึงเรื่องของการต่อสู้ ทางการเมือง สำหรับทางด้านศิลปะนั้น ถือเป็นความเจริญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนี้ และไมเคิล แองเจิลโล ก็เป็นศิลปินที่นำหน้าศิลปินอื่นๆ ในยุคนี้ทั้งหมด เขามี ความสามารถเป็นเลิศในการเอาใจจดจ่ออยู่กับการใช้ความคิด การถ่ายทอดพลัง จากมือของเขาไปสู่ผลงานต่างๆ ที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้น ในการทำงานของ ไมเคิล แองเจิลโล นั้น เขาจะทานขนมปังเป็นอาหารเพียงเล็กน้อย เท่านั้น เวลานอนก็นอนบนพื้น หรือผ้าใบข้างๆ ภาพเขียน และรูปแกะสลักที่ยังไม่เสร็จ เขาจะสวมเสื้อผ้าชุดเดิมไปจนกว่างานที่เขาทำจะเสร็จสมบูรณ์ลง ชีวิตของศิลปินผู้นี้นั้น มีเพียงเพื่อนสนิทอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังคงรักและบูชาเขา แต่โดยทั่วไปแล้ว คนส่วนมากจะคิดว่าเขาเป็นคนเย็นชา และไม่เป็นมิตรกับใคร ไมเคิล แองเจิลโล ใช้ชีวิตอยู่อย่างเป็นโสดโดยไม่ได้แต่งงานกับใครเลยไปจนตลอดชีวิตของเขา

ประวัติส่วนตัว
ชื่อเต็มของศิลปินผู้นี้คือ ไมเคิล แองเจิลโล ดิ โลโดวิโด บัวนารอตติ ซิโมนี(MICHELANGELO DI LODOVICO BUONARROTI SIMONI) เกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ปี ค.ศ. 1475 เมืองคาปรีส์ ประเทศอิตาลี ในเมืองเล็กๆ ใกล้ ๆ กับเมืองฟลอเรนส์ และได้เสียชีวิตเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ.1564 บิดาเป็นนายกเทศมนตรีของหมู่บ้าน ไมเคิล แองเจิลโล เป็นบุตรคนที่สอง ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด 5 คนด้วยกัน เข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนในเมืองฟลอเรนส์ ถึงแม้จะไปเรียนหนังสือ แต่จิตใจของเขาก็ไม่ได้อยู่กับการเรียนเลยแม้แต่นิด แต่กลับทุ่มเทจิตใจให้กับงานด้านศิลปะ และหลงไหลในการเป็นจิตรกร และการแกะสลักตั้งแต่ยังเป็นเด็กอยู่ จนในที่สุดเมื่อไมเคิลมีอายุได้ 13 ปีเต็ม บิดาของเขาจึงตัดสินใจส่งไปฝึกงานกับพี่น้องเจอร์ลันดาร์จ ซึ่งเป็นจิตรกรที่มี ชื่อเสียงของเมืองฟลอเรนส์ ถึงแม้จะได้ฝึกงานทางศิลปะแล้วก็ตาม แต่ไมเคิล ก็ยังคงไม่สมหวังอยู่ดีเพราะพี่น้องทั้งสองไม่ยอมสอนเทคนิคต่างๆ ในการทำงาน ให้กับเขาเลย วันหนึ่งขณะที่เขากำลังเที่ยวเล่นอยู่นั้นก็ได้ไปพบกับสวนแห่งหนึ่งใน วิหารซานมาร์โค โลเรนโซ ผู้เป็นหัวหน้าของตระกูลเมดีซี่ ได้สั่งซื้อรูปแกะสลักของกรีกโรมันโบราณ มาเก็บไว้ที่สวนแห่งนี้ และจ้างให้เบอร์โทโดผู้เป็นช่างแกะสลัก ที่เฉลียวฉลาด ให้ทำหน้าที่เป็นทั้งอาจารย์ และภัณฑรักษ์ของสวนนี้ ไมเคิล แองเจิลโล ตกลงใจไปทำงานเป็นผู้ช่วยให้กับเบอร์โทโด โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากบิดาเลย จนกระทั่งวันหนึ่ง ลอเรนโซ เกิดบังเอิญมาเห็นเด็กชายคนหนึ่งกำลังแกะสลักส่วนหัว ของฟอนอยู่เกิดความประทับใจในตัวไมเคิล แองเจิลโลตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงขอให้ ไมเคิลไปอยู่กับเขาที่พระราชวังด้วย และปฏิบัติต่อไมเคิลเสมือนเป็นลูกชายของเขา เองทีเดียวลอเรนโซ เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1492 การจากไปของลอเรนโซ สร้างความโศกเสียใจให้กับ ไมเคิล แองเจิลโลเป็นอย่างมาก เขาตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างหนัก ในช่วงนั้นเองได้มี การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในเมืองฟลอเรนซ์ โดยบาทหลวงคณะโดมินิกันผู้หนึ่งนามว่า จีโลราโม สาวานาโรลา เกิดบ้าอำนาจขึ้นมาและพยายามครอบงำประชาชนให้ตกอยู่ ภายใต้การสั่งสอนของเขา ไมเคิล แองเจิลโล ไม่ต้องการตกอยู่ภายใต้อิทธิพลมืดนี้ จึงตัดสินใจออกจากเมืองฟลอเรนส์ไป

แหล่งอ้างอิง:http://tanknam1992-tanknam.blogspot.com/2010/07/michelangelo.html
http://www.trueplookpanya.com/new/cms_detail/knowledge/12562-00/